387 Views

เวลาที่เรามอง “คนเก่ง” นั้น สายตาและสมองมักจะบอกว่า “พวกเขาโชคดีที่มีพรสวรรค์” ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักดนตรี หรือนักธุรกิจ แม้แต่ศิลปินก็ไม่เว้น แต่…
พรสวรรค์อย่างเดียว พาให้เขาไปสู่ความสำเร็จได้จริงหรือ หนังสือเล่มนี้จะให้มุมมองต่อสิ่งนี้ที่แตกต่างออกไป เพราะ “คนเก่ง” จำนวนไม่น้อยที่เคยได้รับการคาดหวังว่าพวกเขาจะสำเร็จและมีชื่อเสียงนั้น ต่างล้มเหลว และล้มเลิกไปมากกว่าที่พวกเราคิด!!! ปัญหาก็คือ “พรสวรรค์” ใช้อธิบายสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการคำอธิบายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมที่ทรหด หรือความพยายามที่ทุ่มแรงไปทั่งหมดที่มี
ขณะเดียวกัน เมื่อให้เราเลือกคนเก่งที่มาจาก “พรสวรรค์” หรือ “ความพยายามจนเก่ง” แนวโน้มส่วนใหญ่เรามักจะบอกว่า “คนที่พยายามจนเก่ง” นั้น ควรค่าแก่การได้รับคำชม รวมถึงรางวัลมากกว่า แต่ในมุมกลับ “อคติ” ของเรา บอกว่า “คนเก่งที่มาจากพรสวรรค์” นั้น ย่อมเก่งกว่าอยู่ดี
เอาเข้าจริง เมื่อวิเคราะห์ลงลึกไปจนถึงรากแล้ว พรสวรรค์ไม่สามารถพาให้คนเราไปถึงจุดหมายได้ พวกเขาต้องมี “ความพยายาม” ก่อน พยายามที่จะเก่งในสิ่งที่พวกเขารู้สึกชอบ เมื่อเป็นแบบนั้น เราจะได้สมการแบบนี้
พรสวรรค์ x ความพยายาม = ทักษะ (1)
ทักษะ x ความพยายาม = ความสำเร็จ (2)
เห็นได้ชัดว่าในสองสมการข้างต้น คุณต้องใช้ “ความพยายาม” ถึงสองเท่า กว่าที่จะสำเร็จได้ แล้วทำไมเรายังคิดว่า คนเก่งที่ประสบความสำเร็จ มีเพียง “พรสวรรค์” อย่างเดียวอยู่อีก
ถ้าโอเคแล้ว ส่วนต่อไปก็คือ “ทำอย่างไร” เราถึงใช้ความพยายามได้ขนาดนั้น โดยไม่ย่อท้อ หรือล้มเลิกไปก่อน คนจำนวนไม่น้อยที่พยายามได้ไม่ตลอด แต่…
มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ยอมแพ้ก่อน เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเพราะอะไร อาจจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปรารถนาจริงๆ หรือหลายอย่างเปลี่ยนไป
อย่างแรกที่เราควรทำคือ มองให้เห็นว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ค่อยๆ คิดทบทวน มองให้ถี่ถ้วน ความรักและความชอบในสิ่งที่ทำ จะเป็นแรงผลักดัน และกระตุ้นให้เรามีความพยายามคูณสองได้…
ภาคต่อจากนี้
คุณจะได้เรียนรู้ในการสร้างความพยายาม หรือจะเรียกว่า “ความทรหด” ที่มาจากภายในสู่ภายนอก แล้วก็จากภายนอกสู่ภายใน
อ่านแล้วคุณจะคิดได้ว่า “คนเก่ง ต้องใช้ความพยายามนับหมื่นครั้ง” กว่าที่จะสำเร็จในครั้งที่หมื่น เพราะในจำนวนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งนั้น แม้จะล้มเหลว แต่มันก็ทำให้เขาเรียนรู้ว่า “แบบนั้นยังไม่ใช่ และไม่ใกล้ความสำเร็จ”

Grit ทำให้นึกถึง “อิทธิบาท 4” ฉันทะ (ความรัก/พอใจ) วิริยะ (ขยันมั่นเพียร/พยายาม) จิตตะ (เอาใจใส่/ทุ่มเท) วิมังสา (มีสติ/คิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ)

ถ้าพ่อกรอกหูคุณว่า “ลูกไม่ใช่อัจฉริยะ” มาตลอด คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อของเธอ พูดกับเธอและพี่น้องเสมอๆ ว่าเธอไม่ฉลาดพอ
แต่เธอก็พาตัวเอง เรียนจบปริญญาเอก เป็น Professor ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ได้รับทุนการศึกษาที่ว่ากันว่า
มีแต่อํจฉริยะเท่านั้นที่จะได้รับ
หนังสือเล่มนี้ของเธฮบอกเล่าว่า ประสบความสำเร็จได้ อย่างไร
มันชื่อว่า GRIT และมันอาจทำให้คุณ ที่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจ ขนาดเป้นอัจฉริยะ

ผู้เขียนหรือAngela Duckworth อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเพนซินเวเนียสรุปเป็นแนวคิดไว้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญมากๆในการจะประสบความความสำเร็จคือ ความทรหด หรือ ความเพียร (Perseverance) เพราะ ความทรหดนั้นอยู่ในทั้งสองขั้นตอนของการสร้างความสำเร็จ
1.พรสวรรค์ + ความทรหด = ทักษะ
2.ทักษะ + ความทรหด = ความสำเร็จ
ด้วยความหนากว่า 367 หน้า เป็นตัวอักษรๆล้วนๆที่อัดแน่นบนกระดาษ Size A5 ต้องยอมรับเลยว่าตอนแรก ผมแอบท้อใจ 555 แต่เชื่อหรือไม่ว่าผมสามารถอ่านจบได้ใน 5 วัน เพราะมันอัดแน่นด้วยงานวิจัยและข้อมูลสนับสนุนแบบ Professor มหาวิทยาลัย ทำให้มันเป็นหนังสือที่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด

GRIT แบ่งเป็น 3 บท
1.ความทรหดคืออะไรและสำคัญอย่างไร
2.สร้างความทรหดจากภายในสู่ภายนอก
3.สร้างความทรหดจากภายนอกสู่ภายใน
ขอตั้งสมมติฐานว่าผ่านส่วนใหญ่เป็นวัยเรียนคนทำงาน ส่วนที่สรุปแล้วน่าจะได้ประโยชน์สูงสุดเป็นส่วนที่ 1,2

Perseverance หรือ ทรหด ในหนังสือเล่มนี้ ถ้าเอามาแปลเป็นไทยตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี 2554 จะได้ว่า
อดทน, บึกบึน, ไม่ย่อท้อ, เช่น สู้กันอย่างทรหด ถ้าแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษ โดย Google
Perseverance จะหมายถึง ความขยันหมั่นเพียร วิริยะ นั่นเอง
ตัวอย่างของ Perseverance ที่ดีมากในไทย น่าจะเป็นเรื่อง ของ พระมหาชนก ที่ว่ายน้ำตอนที่เรือร่มจนสามารถพ้นวิกฤตได้ในที่สุด

Spellbound เป็นภาพยนตร์สารคดีที่เกี่ยวกับเด็กๆ ที่แข่งขัน สะกดคำ ระดับชาติ
งานวิจัยที่เก็บข้อมูลผู้เข้าแข่งขัน 2 ใน 3 ระบุว่า ความทรหดมีอิทธิพลต่อระดับความสำเร็จ ในการแข่งขันสูง
เด็กที่มีชั่วโมงการซ้อมและเข้าแข่งขันมากกว่า ค่าเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะได้ผลการแข่งขันที่ดีกว่า
เรื่องนี้สอดคล้องกับนักมวยอย่าง ศรีสะเกษ ที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ ในวันที่เขาซ้อมหนักหลายร้อยยก และมากกว่าคู่แข่ง
ผมชอบที่คุณ Angela เขียนไว้ว่า
“ศักยภาพ(พรสวรรค์) เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการเอาไปใช้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” มันทำให้ผมได้ไอเดียว่า พรสวรรค์มีอิทธิพลต่อความสำเร็จน้อยกว่าความกระหายและความทรหด เห็นด้วยไหมครับ

นักวิจัยกลุ่มหนึ่งในลอนดอนได้ใช้แบบทดสอบวัดความทรหดกับฝาแฝดวัยรุ่นกว่า 2,000 คู่ และพบว่า ความทรหดหรืออุตสาหะมีสัดส่วนจากพันธุกรรม 37% จากความหลงใหล 20%
งานวิจัยอีกหลายตัวทำให้เข้าใจได้ว่า ความทรหดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ยีนส์ หรือ พันธุกรรมเพียงหน่วยใดหน่วยหนึ่ง แต่มีหลายๆยีนส์ที่มีอิทธิพล (เป็นไปได้ถึง 697 หน่วย จาก 25,000 หน่วย)
คุณ Angela จึงสรุปว่า ความแตกต่างด้านความทรหดเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของประสบการณ์ ซึ่งหมายความว่า มันสามารถพัฒนาให้เติบโตได้

คุณ Angela ได้นำผลงานวิจัยของเธอที่เก็บชาวอเมริกันหลายช่วงอายุมาหาค่าเฉลี่ย ของความทรหด ได้ผลสรุปว่า ยิ่งอายุมากยิ่งมีความทรหดสูงขึ้น สามารถวิเคราะห์ต่อไปได้ว่า
1.ความทรหดเติบโตได้
2.ความทรหดแปรผันตามอายุ
ช่วงเวลาหรือยุคสมัยที่เกิดอาจมีผลต่อระดับความทรหด และประเด็นสำคัญที่คุณ Angela ต้องการจะสื่อจริงๆคือ ความทรหดเติบโตได้ แล้วถ้าเราจะพัฒนามันต้องทำยังไง ไปดูกันครับ

การสร้างความทรหดนั่นทำได้สองแนวทาง คือจากภายในสู่ภายนอก (พูดง่ายๆคือจากตัวเราเอง) กับจากภายนอกสู่ภายใน (การสนับสนุนจาก คนใกล้ตัว สิ่งแวดล้อม) สำหรับการสร้างความทรหดจากภายในสู่ภายนอกนั้น มีอยู่ 4 องค์ประกอบด้วยกัน
1. ความสนใจ
2. การฝึกฝน
3. จุดมุ่งหมาย
4. ความหวัง

งานวิจัยกว่า 100 ชิ้นระบุชัดเจนว่า งานที่เราสนใจหรือรักมันจะมอบความพึงพอใจให้กับผู้ทำงานนั้น ในขณะที่มีงานวิจัยกว่า 60 ชิ้นเช่นกันที่ระบุว่า คนที่ทำงานที่รักมักจะสร้างผลงานได้ดีกว่าการทำงานที่ไม่ได้สนใจ Will Shortz บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ New York Time ในหน้า ปริศนาอักษรไขวื (Crossword Puzzle)
Will เป็นอีกหนึ่งคนรักการเล่นเกมนี้มา เขาโตมากับบ้าน ที่เต็มไปด้วยหนังสือ และปริศนาอักษรไขว้ หลงใหล เล่น และพัฒนาจนประดิษฐ์ มันและส่งไปให้ หนังสือพิมพ์ ก่อนที่จะพาตัวเองมาจับงานด้านนี้และกลายเป็น บรรณาธิการหมวด Crossword Puzzle ให้กับ สำนักพิมพ์ New York Time อย่างยาวนาน ก่อตั้งกิจกรรม ต่างๆมากมายเกี่ยวกับ Crossword Puzzle ทั้ง Tournament แข่งขันระดับในอเมริก และระดับชาติ
ผมชอบที่เขาพูดไว้กับนักศึกษาจบใหม่มหาวิทยาลัย อินเดียน่า ที่เขาจบมาว่า “จงคิดให้ออกว่าคุณชอบทำอะไรมากที่สุดในชีวิต แล้วพยายามทำสิ่งนั้นเต็มเวลา ชีวิตมันสั้นนัก ดังนั้น จงทำสิ่งที่ตัวเองรัก”
งานที่ดีให้ความพอใจ ความพอใจในงาน ทำให้เราสร้างผลงานได้ดี จะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกครับกับชีวิตหนึ่ง^^ ค้นหางานที่ว่าให้เจอนะฮะทุกคน

Angela ได้มีโอกาสพูดคุยกับ K. Anders Ericsson ผู้เชี่ยวชาญด้าน ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แต่คนที่เล่นหมากรุกได้เก่งระดับโลก นักกีฬาโอลิมปก นักบัลเล่ต์อันดับหนึ่ง และถอดรหัสสิ่งที่ K. Anders Ericsson ค้นพบได้เป็นแผนภาพว่า ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกส่วนใหญ่มีพัฒนาการด้านทักษะระดับโลกได้ เพราะ ใช้เวลาฝึกฝนอย่างมีคุณภาพ สรุปง่ายๆว่า ไม่ใช่แค่
“ระยะเวลา” แต่ “คุณภาพ” ของการฝึกฝน ก็มีผลต่อระดับทักษะ วิธีการฝึกฝนของคนระดับโลกเหล่านี้ Ericsson เรียกว่า การฝึกฝนอย่างจดจ่อ (Deliberate Practice) เป็นการฝึกที่จริงจัง และอาจจะเรียกได้ว่า มีความสนุกน้อยมาก
แต่การฝึกฝนแบบนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาทักษะได้อย่างก้าวกระโดด และจะส่งผลให้ ผลลัพธ์ในตอนที่แข่งขันโดดเด่นไม่แพ้ตอนซ้อม เวลาสำคัญ แต่ คุณภาพ ก็สำคัญเช่นกันนะครับ

ในพาร์ทของจุดมุ่งหมาย โดยส่วนตัวผมมองว่ามีความคล้ายกับ อิคิไก (IKIGAI) หรือความหมายของชีวิต ในแบบญี่ปุ่น Angela สรุปไว้ว่า คนที่มีความทรหดส่วนใหญ่มองว่าเป้าหมายสูงสุดของตัวเอง มีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างลึกซึ้ง
ความทรหดที่มากกว่ามาจากแรงผลักดันที่แรงกล้ากว่าจากการ แสวงหาชีวิตที่มีความหมายและมุ่งเน้นทำเพื่อคนอื่น อธิบายเรื่องความทรหด กับจุดมุ่งหมายได้ง่ายๆจากนิทาน
เรื่อง ช่างก่ออิฐ
ครั้งหนึ่งช่างก่ออิฐ 3 คนถูกถามว่า “พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่”
ช่างคนแรกตอบว่า “กำลังก่ออิฐ”
ช่างคนที่สองตอบว่า “กำลังสร้างโบสต์”
ส่วนช่างคนที่สามตอบว่า “กำลังสร้างบ้านให้พระเจ้า”
คิดว่าคนไหนมีแนวโน้มจะทำงานได้ดีกว่ากันครับ^^

อีกส่วนหนึ่งที่ผมตกผลึกได้จากหนังสือเล่มนี้คือ เรื่องของเป้าหมายสูงสุด
Angela ได้มีโอกาสคุยกับ บ็อบ แมนคอฟฟ์ บรรณาธิการการ์ตูน ของนิตยสาร The New Yoker จนได้ข้อมูลว่า 96% ของผลงานที่ส่งเข้ามาเพื่อขอตีพิมพ์จะถูกปฏิเสธ 17 ชิ้นเท่านั้นที่จะได้ลงหนังสือพิมพ์ บ็อบให้ไอเดียว่า วิธีที่จะทำให้ได้ตีพิมพ์คือ ส่งงานที่มีคุณภาพ ปริมาณที่มากพอ
เดอะ นิวยอร์กเกอร์ ปฏิเสธผลงานของบ็อบกว่า 2,000 ชิ้น
ระหว่างปี 1974-1977 แต่เขาก็มุ่งมั่นส่งผลงานต่อ
ปี 1978 เดอะ นิวยอร์กรับซื้อผลงาน 13 ชิ้น
1979 25 ชิ้น
1989 27 ชิ้น
จนปี 1981 บ็อบก็ได้รับจดหมายเชิญให้เป็นนักเขียนสัญญาจ้าง และกลายเป็นบรรณาธิการในที่สุด บ็อบสอนให้เรารู้ว่า เราอาจจะเปลี่ยนผลงานหรือภารกิจของเราได้ แต่เป้าหมายสูงสุดไม่ควรเปลี่ยน
ผมจึงได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ความทรหดทำให้เราไปถึงเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดชัดก็ส่งเสริมให้เราทรหดเพิ่ม
คำถามที่ผมอยากชวนทุกท่านคิดคือ อะไรครับที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเรา

ถ้าเราเคยรู้สึกท้อใจจนล้มเลิกเพราะคำพูดของใครสักคน อย่ารู้สึกไม่ดีกับตัวเองจนเกินไปครับ
เพราะมีงานวิจัยที่คุณ Angela ค้นหามาว่า วิธีพูด มีผลต่อความทรหดและความคิดแบบพัฒนา (Growth Mindset)
อะไรคือ ความคิดแบบพัฒนา (Growth Mindset)
สำหรับผมมันคือชุดความเชื่อที่ช่วยให้เราสามารถ ค้นหาแง่ดีในสถานการณ์ที่เลวร้าย และเอาชนะอุปสรรค เรานั้นได้ด้วยความทรหดนั่นเอง
ตัวอย่างวิธีพูดที่ ทำลายและส่งเสริม ความหวัง ความทรหด และความคิดแบบพัฒนานั่น มีอยู่ใน ภาพแล้ว ลองเรียนรู้กันดูนะฮะ

ทา-เนฮีซี โคตส์ ผู้แต่งหนังสือขายดี Between the world and me เป็นอีกคนที่ได้รับรางวัล แมคอาเธอร์ เช่นเดียวกับ Angela
8 ปีก่อนได้รับรางวัลนี้ เขาว่างงานหลังจากถูกนิตยสาร Time เลิกจ้าง ต้องวิ่งหางานอิสระ ความเครียดทำให้เขาน้ำหนักตัวขึ้น 13-14 กิโลกรัม
ด้วยความทรหดและการสนับสนุนที่ดีจากภรรยา เขากลับมาสร้างผลงานได้ดีอีกครั้ง จนประสบความสำเร็จในที่สุด
ผมชอบคำพูดที่เขาพูดว่า “ความล้มเหลวน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในผลงาน(ที่ประสบความสำเร็จ)ของเขา”
แม้ความล้มเหลวไม่ใช่ความสำเร็จโดยตรง แต่ผมเชื่อว่ามันคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ล้มเหลว ขัดเกลา แก้ไขทำซ้ำๆ จะสำเร็จได้ และสิ่งที่ทำให้เราไม่ท้อถอยก่อนจะสำเร็จ สิ่งนั้นก็คือ ความทรหด ในตัวของพวกเราทุกคนนั้นเอง มีสร้างความทรหดกันนะครับ

By admin

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *