430 Viewsสรุปหนังสือ หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณดีใจมากๆ ครับที่ได้สรุปเล่มนี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน เพราะส่วนตัวก็รออ่านเล่มนี้มาประมาณ 1 เดือน เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่สร้างปรากฏการณ์ยอดพรีฯ พุ่งปรี๊ดดดต่อเนื่องตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายเลยทีเดียวตอนนี้หลุดพรีฯ แล้ว ผมว่านักอ่านหลายท่านที่ได้รับหนังสือแล้วคงเริ่มดอง แฮร่ เริ่มทยอยอ่านเล่มนี้กันบ้างแล้วนะครับเล่มนี้ผมใช้เวลาอ่านไม่นานเพราะว่าผู้เขียนลำดับเนื้อหามาได้เนียนอย่างไร้ที่ติ เนื้อหาน่าติดตาม สำนวนแปลอ่านง่าย และอีกอย่างเล่มค่อนข้างบางไม่ถึง 200 หน้าสำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือยังลังเลอยู่ ผมขออนุญาตเล่าให้ฟังกันไปเพลินๆ ถึงเรื่องราวของ “ลิง” (ความกังวล) ที่ชอบวิ่งเพ่นพ่านในหัวของเรา รวมถึงการจัดการกับมันให้อยู่หมัด ผ่านสรุป 34 ข้อพร้อมแล้วก็ไปกันเล้ยยยยแรกเริ่มเดิมทีย้อนกลับไปสมัยบรรพบุรุษของเรา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดได้พัฒนากลุ่มนิวเคลียสชนิดหนึ่งฝังอยู่ในสมอง ซึ่งทำงานในด้านการแสดงความรู้สึกโดยเฉพาะ “ความกลัว” เราเรียกสมองส่วนนี้ว่า “อะมิกดะลา” (Amygdala ) 🧠 แน่นอนสมองส่วนนี้มีประโยชน์กับเรามากๆ เพราะมันจะคอยสอดส่อง คัดกรองอะไรก็แล้วแต่ที่ดูจะไม่ปลอดภัยให้เราได้รับรู้ โดยหน้าที่ของมันคือทำยังไงก็ได้ให้เรารอดตาย เมื่อเห็นสัญญาณไม่ชอบมาพากล มันจะกระตุ้นความกลัวผ่านระบบซิมพาเทติกทำให้เกิดการตอบสนองแบบสู้หรือหนี เหตุผลที่เราพัฒนาสมองส่วนนี้ขึ้นมาก็ดูเข้าที เพราะว่าภัยคุกคามในยุคนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ การวิ่งหนีเสือสิงกระทิงแรด สมัยนั้นต้องเดิมพันด้วยชีวิต จะมาเดินเอ้อระเหย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็คงโดนงาบไปกิน ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันเป็นสังคม สมองส่วนนี้ก็ได้รับบทบาทมากขึ้น คือจะคอยสอดส่องว่าสถานะของเราเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นๆ ผู้คนจะชอบเราไหม ยอมรับเราไหม เราแปลกแยกจากคนอื่นๆ หรือไม่ เรามีความเสี่ยงที่จะถูกแบน หรือโดนขับออกจากกลุ่มหรือไม่ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ก็ไต้เต้าขึ้นไปอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาไล่งาบ และได้สร้างสังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นมาระยะเวลาอันสั้น แต่เสียดายมันสั้นเกินกว่าที่สมองส่วนนี้จะวิวัฒน์ได้ทัน สมองส่วนนี้ยังคงไล่หาความไม่ปลอดภัยและส่งสัญญาณ Alert ตลอดเวลา ตั้งแต่เรื่องเล็กกระจิริดไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตาย ข้อมูลถูกฟีดผ่านกระแสสำนึกของเราทุกวี่วันนับครั้งไม่ถ้วน เกิดเป็นความกังวล งุ่นง่านรำคาญใจ วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรานิยามมันว่า “ลิง” 🐵 ลิงไม่เพียงแต่จะทำให้เรากังวล ร้อนอกร้อนใจจนเกินควร ทั้งๆ ที่เหตุการณ์อาจไม่เป็นเช่นนั้น ลิงยังกีดกันให้เรากลัวที่จะก้าวข้าม comfort zone ก้าวข้ามความเคยชิน ซึ่งส่งผลให้เราไม่กล้าใช้ชีวิตในเส้นทางที่เราต้องการ และฉุดรั้งการเติบโต กฏเหล็กของลิงคือ “สิ่งที่คุณไม่รู้อาจฆ่าคุณ” แต่อนิจจาสมองลิงเอ๋ย มันไม่เคยรู้เรื่องเลยว่าชีวิตมีอะไรต้องทำ ต้องค้นหา มากกว่าเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ 🥹 แต่แล้วก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ได้ส่ง Jennifer Shannon มาถ่ายทอดวิธีการจัดการกับสมองลิงให้มนุษย์อย่างเราๆ จากประสบการณ์ของเธอที่เป็นนักจิตบำบัดรักษาโรควิตกกังวลมาแล้ว 20 ปี พบเจอเคสมาแล้วมากมาย เธอพบว่ามีวิธีหนึ่งที่จะช่วยเราได้ วิธีนั้นคือ “การบำบัดความคิดและพฤติกรรม” หรือ CBT (Cognitive Behavior Therapy) CBT คือการค้นหาต้นตอกรอบความคิด หรือค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับความจริง เพื่อเข้ามาตบซ้าย ตบขวา ปัดฝุ่นให้มันถูกต้อง เมื่อกรอบความคิดถูกต้อง พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนแปลงตาม เทคนิคนี้คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1960 โดย Aaron Beck แต่การจะปรับเปลี่ยนกรอบความคิดได้นั้น จำเป็นต้องรู้เท่าทันความคิดเสียก่อน อาจท่องง่ายๆ ว่า CBT คือ การบำบัดเพื่อรู้เท่าทันความคิด และพิชิตค่านิยมที่ผิดเพี้ยน จุดต่างที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ เทคนิค CBT เชื่อว่าปัญหาทางจิตเกิดจากกรอบความคิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งต่างกับการบำบัดผ่าน “จิตวิเคราะห์” ของฟรอยด์ ที่เชื่อว่าปัญหาทางจิตเกิดจากส่วนของจิตไร้สำนึกที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์วัยเด็ก (เกิดจากอดีต) แม้ว่า CBT จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความกังวลจุกจิกในชีวิตเราได้ แต่ก่อนที่เราจะไปกันต่อ ขอบอกความจริงที่สำคัญข้อหนึ่งไว้เลย นั่นก็คือ เราไม่มีวันลบลิงออกจากหัวได้ ! ! ไม่มีวันทำให้ความกังวลทั้งหมดเป็นศูนย์ ! ! แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เรามีวิธีอยู่ร่วมกันกับพวกมันได้ ยังจำกันได้ไหมครับ ที่ผมเคยบอกว่า CBT คือ การรู้เท่าทันความคิด เพื่อพิชิตค่านิยมที่ผิดเพี้ยน ตอนนี้เราค้นพบแล้วว่า ค่านิยมพื้นฐานที่มักทำให้เราวนเวียนอยู่กับความกังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ค่านิยมแรกคือ #การทนความไม่แน่นอนไม่ได้ ถ้าเรามีความเชื่อลึกๆ ว่าเราต้องควบคุมทุกอย่างได้ เราจะถูกโยนโจทย์ให้แก้ปัญหาอยู่ตลอด แน่นอนหากบางทีเจอเรื่องที่จัดการยาก ก็จะทำให้เราคิดไม่ตก เกิดเป็นความกังวลเรื้อรัง ค่านิยมที่สองคือ #นิยมความสมบูรณ์แบบ ถ้าเราเป็นคนชอบความเพอร์เฟ็กไร้ที่ติ ไร้ข้อผิดพลาด เราก็มีโอกาสเกิดความเครียด ความกังวลได้มากกว่าคนอื่น เพราะว่าในชีวิตจริงมีปัจจัยหลายประการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ค่านิยมที่สามคือ #รับผิดชอบล้นเกิน แน่นอนความรับผิดชอบเป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมยกย่องว่ามีความสำคัญ แต่คนที่มีความรับผิดชอบล้นเกิน ซึ่งเกิดจากการที่ไม่สามารถแบ่งขอบเขตการรับผิดชอบให้ชัดเจน มักสร้างความลำบากใจให้ตัวเองไม่รู้จบ โดยต้นเหตุมักมีรากฐานมาจากการกลัวเสียความสัมพันธ์ ความกังวลที่เกิดขึ้นก็คือการที่ต้องประคับประคองความรู้สึกของทุกคนที่อยู่รอบตัว ในที่สุดเราก็ค้นพบ รากความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความจริง ซึ่งส่งแรงเสียดสี เป็นความวิตกกังวล จุกจิกอยู่ในหัวตลอดเวลา แต่อย่าเพิ่งดีใจไปครับ เพราะการค้นพบค่านิยมเจ้าปัญหาก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราหยุดกังวลได้ถ้าคุณ “ยังคงให้อาหารมัน” การค้นพบที่สำคัญที่สุดของเล่มนี้ นั่นก็คือ การที่เราทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ความกังวลมันหายไป นั่นก็คือ “การให้อาหารลิง” หลายคนคงคิด แล้วปล่อยให้มันกังวลต่อไปอย่างนี้นะหรือ คำตอบก็คือ “ใช่” เมื่อใดก็ตามที่เราทำบางอย่างเพื่อให้ความกังวลมันหายไป ลิงในหัวของเราก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่มันเตือนนั้นเป็นเรื่องจริง เหมือนเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ลิงบอกมันน่ากลัวจริงๆ ตัวอย่างเช่น เราเป็นห่วงลูกชายมากจึงอยากโทรถามไถ่ การอยากโทรถามเป็นการกระทำเพื่อให้เราหายกังวล แต่ถ้าเราหยิบโทรศัพท์โทรหาเมื่อไร นั่นแหละ เรากำลังให้อาหารลิงอยู่ ตอนนี้หลายคนคงคิดว่า ก็โทรหาแล้วก็จบ ทำไมต้องให้ตัวเองมานั่งกังวลอยู่นานๆเล่า คำตอบคือ เพราะถ้าเราตอบสนองความต้องการลิง หรือให้อาหารลิง ลิงก็จะมองหาความกังวลใหม่ๆ มาให้เราไม่รู้จบ แต่ถ้าหากเราไม่ตอบสนองความต้องการลิง ก็จะทำให้ลิงพบว่าข้อมูลที่ส่งให้ไม่ได้สำคัญอะไร และหยุดส่งสัญญาณ สิ่งสำคัญคือ “ลิงจะเชื่อฟังประสบการณ์มากกว่า” ถ้าพบว่าการที่เราไม่ได้โทรหาลูกและลูกก็อยู่ดี ปลอดภัย ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผลลัพธ์นี้จะฟีดแบกกลับไปที่ลิง ทำให้ลิงเลิกส่งสัญญาณมา เป็นการตัดวงจรได้อยู่หมัด วิธีนี้สิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ก็คือการที่ต้องอยู่กับความกังวลในช่วงแรก จนกว่าหลายอย่างมันจะแสดงออกมาเป็นที่ประจักษ์ อาจบอกได้ว่านี่เป็นวิธี “ก้าวข้ามความกังวล ด้วยความกังวล” 📌 แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนควรทำตามลิง ตอนไหนควรละวาง เทคนิคก็คือ ให้ถามตัวเองว่า ถ้าทำตามลิง แล้วมันแก้ความกังวลได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หรือเปล่า ? หรือถ้าทำตามลิงแล้ว มันทำให้เราไม่กล้าใช้ชีวิตในแบบฉบับที่เราต้องการหรือเปล่าล่ะ ?ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เราทำ คือการให้อาหารลิง !! หลายคนอาจคิดว่า การก้าวข้ามความกังวลด้วยความกังวล น่าจะเอาไปใช้จริงได้ยากนะ ไม่ต้องห่วงไปครับผู้เขียนได้บอกเคล็ดลับวิธีรับมือกับลิงไว้ให้อยู่หลายเทคนิคด้วยกัน มีเทคนิคอะไรบ้างไปดูกัน #เปิดรับความกังวล ไม่ต่อต้าน รู้สึกถึงมัน สัมผัสถึงมัน ปล่อยให้มันผ่านมา และผ่านไป #หายใจอย่างมีสติ เพื่อต้อนรับความรู้สึกอึดอัดกังวล สละการควบคุมและเต็มใจที่จะรู้สึก การฝึกต้อนรับความรู้สึกเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งทำก็ยิ่งรับมือได้ดี #บอกกับลิงไปว่าขอเพิ่มอีก เมื่อความกังวลเข้ามาก็บอกว่า เข้ามาอีก มีอีกไหม มีแค่นี้เองหรอ เมื่อสมองลิงคิดว่าเราไม่กลัวก็จะไม่ส่งสัญญาณมาอีก #กล่าวขอบคุณลิง เราไม่อาจห้ามปรามลิงได้ แต่เราตีค่าการกระทำของลิงว่าเป็นประโยชน์กับเราได้ ให้เรามองว่าลิงนั้นเป็นห่วงเราจึงส่งสัญญาณให้กับเรา เราเพียงขอบคุณมัน “ขอบคุณนะครับเจ้าลิง” 🐒 #ท่าไม้ตาย ขั้นตอนสุดท้ายในการจัดการความกังวลเพื่อไม่ให้มาฉุดรั้งการใช้ชีวิตที่อยากจะเป็น นั้นก็คือ การมองหาค่านิยมที่สูงกว่ามากำราบกับค่านิยมที่ต่ำกว่า เช่น หากเราคิดว่าความสงบในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ หรือหากเราคิดว่าสุขภาพสำคัญกว่าความรับผิดชอบอย่างเหลือล้น เราก็เขียนค่านิยมเหล่านี้ และแปะไว้จุดที่เรามองเห็นได้ง่าย และหมั่นทบทวนอยู่เสมอ วิธีนี้จะเข้าไปอัพเดทลำดับค่านิยมในหัวเราใหม่ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายในการกำราบลิงได้อย่างอยู่หมัด โดยสรุป หนังสือเล่มนี้บอกว่าเราไม่สามารถตัดความกังวลได้ แต่เราก้าวข้ามความกังวลได้ เราเพียง📌 เปิดรับ📌 รู้สึกถึงมัน📌 ไม่ต่อต้าน📌 ขอบคุณแล้วเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความจริงปรากฏ ลิงที่ชอบส่งสัญญาณตลอดเวลาก็จะรู้ว่าจริงๆแล้วมันคิดผิด และไม่ส่งสัญญาณกลับมาก และ เราจะกังวลน้อยลงๆ เรื่อยๆ ในระยะยาว Post navigation 16 บทเรียนที่ได้จากหนังสือ: สิ่งที่สำคัญกว่าความสำเร็จ 13 ข้อที่ชอบ จากหนังสือ “ชีวิตสู้กลับ แบบนี้ต้องทำไง”